ปัจจุบันบทบาทของผู้หญิงในสังคมยุคใหม่ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การเป็นแม่บ้าน การตั้งครรภ์และมีบุตรจึงกลายเป็นทางเลือกที่ผู้หญิงหลายคนควรตัดสินใจในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามธรรมชาติ ที่กำหนดให้ความสมบูรณ์ของร่างกายผู้หญิงมีช่วงเวลาจำกัด เมื่ออายุมากขึ้น คุณภาพของไข่จะลดลง โอกาสในการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติย่อมยากลำบากขึ้น เทคโนโลยีทางการแพทย์จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ ช่วยให้ผู้หญิงสามารถวางแผนการมีบุตรได้อย่างอิสระ ทำให้แพ็กเกจฝากไข่กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกใหม่ ที่มอบโอกาสให้ผู้หญิงสามารถเก็บรักษาความสมบูรณ์ของไข่ เพื่อเตรียมความพร้อมไว้รอใช้ได้ในอนาคต
การฝากไข่ คืออะไร ?
การฝากไข่ หรือที่เรียกว่า การแช่แข็งไข่ เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ช่วยเก็บรักษาเซลล์ไข่ของผู้หญิงไว้ในอุณหภูมิที่เย็นจัด -196 องศาเซลเซียส โดยใช้เทคนิคการแช่แข็งแบบวิทริฟิเคชัน (Vitrification) ซึ่งช่วยรักษาโครงสร้างและคุณภาพของไข่ให้คงสภาพใกล้เคียงกับธรรมชาติ เมื่อต้องการนำไข่มาใช้ แพทย์จะละลายไข่ และผสมกับอสุจิของฝ่ายชาย โดยใช้เทคนิคการปฏิสนธิภายนอกร่างกายอย่าง ICSI เพื่อผสมเป็นตัวอ่อนและย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก สำหรับผู้หญิงที่ต้องการวางแผนการมีบุตรในอนาคต รวมถึงผู้ที่ต้องรักษาโรคบางชนิด ที่อาจส่งผลต่อรังไข่และคุณภาพของไข่ เช่น โรคมะเร็ง ในปัจจุบันจึงมีแพ็กเกจฝากไข่จากหลากหลายสถานที่ที่พร้อมเพิ่มโอกาส เป็นทางเลือกให้แก่ผู้หญิงยุคใหม่ด้วยการเก็บไข่ในราคาคุ้มค่า เพื่อช่วยให้ผู้หญิงสามารถวางแผนการมีลูกและสร้างครอบครัวได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวลกับข้อจำกัดด้านวัย เหมาะสำหรับผู้หญิงยุคใหม่ที่อยากมีลูกแต่ยังอยากสนุกกับชีวิตให้เต็มที่ก่อน
ขั้นตอนและกระบวนการฝากไข่
- ก่อนเริ่มกระบวนการฝากไข่ แพทย์จะทำการตรวจสุขภาพโดยละเอียด เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกายในการผลิตไข่ที่มีคุณภาพ ซึ่งการตรวจอาจรวมถึง
- การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน
- การตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อดูภาพรวมของอวัยวะสืบพันธุ์
- การตรวจอื่น ๆ เพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคทางพันธุกรรมที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในอนาคต
- แพทย์อาจให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ร่างกายพร้อมสำหรับการฝากไข่
- หลังจากเตรียมร่างกายให้พร้อมแล้ว แพทย์จะเริ่มกระบวนการกระตุ้นรังไข่ ด้วยการฉีดยาเป็นเวลาประมาณ 9-11 วัน เพื่อให้รังไข่สร้างไข่มากขึ้น โดยตลอดระยะเวลาการรักษา จะมีการติดตามการตอบสนองของรังไข่ด้วยการตรวจอัลตร้าซาวด์และเจาะเลือดเป็นระยะ
- เมื่อไข่โตเต็มที่และพร้อมสำหรับการเก็บ แพทย์จะนัดเข้ารับการเก็บไข่ ซึ่งไข่ที่ได้จากการเก็บจะถูกนำไปแช่แข็งทันทีด้วยเทคนิคพิเศษที่เรียกว่า Vitrification ซึ่งเป็นการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาคุณภาพของไข่ให้ดีที่สุด
- ไข่ที่แช่แข็งจะถูกเก็บรักษาในอุณหภูมิต่ำมาก ทำให้สามารถคงสภาพอยู่ได้นานหลายปี โดยไม่สูญเสียคุณภาพ
รายละเอียดแพ็คเกจการฝากไข่
- เริ่มกระบวนการ เจาะเลือดคุณผู้หญิง
- การตรวจวิเคราะห์เลือด ทางห้องปฏิบัติการ
- เอกซเรย์ปอด
- ตรวจอัลตราซาวนด์ดูมดลูกรังไข่และจำนวนฟองไข่
- กระบวนการกระตุ้นไข่
- ยาฉีดกระตุ้นไข่ (ไม่จำกัดจำนวนโดส)
- ยาป้องกันไข่ตก
- ยาทำให้ไข่สุก
- ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางนัดตรวจติดตาม
- ตรวจติดตามอัลตราซาวนด์การเจริญเติบโตของฟองไข่
- เจาะเลือดติดตามฮอร์โมนระหว่างช่วงกระตุ้นไข่ (E2 , LH)
- เตรียมความพร้อมก่อนเข้าห้องผ่าตัดเก็บไข่ เจาะเลือดตรวจเบาหวานและตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (กรณีอายุมากกว่า 40 ปี)
- กระบวนการเก็บไข่ และค่าใช้จ่าย
- ค่ายาหลังทำหัตถการ
- ค่าห้องผ่าตัดและเวชภัณฑ์ในการทำหัตถการต่าง ๆ
- ค่าแพทย์วิสัญญีและแพทย์ทำหัตถการเก็บไข่
- แช่แข็งไข่ไม่จำกัดจำนวน (ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา 3 ปีแรก)
ฝากไข่ที่ไหนดี ควรพิจารณาเรื่องอะไรบ้าง ?
การเลือกสถานที่ว่าควรฝากไข่ที่ไหนดีเป็นการตัดสินใจสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการรักษาภาวะมีบุตรยากในอนาคต โดยมีปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาดังนี้
- พิจารณาถึงมาตรฐานของสถานที่
เลือกคลินิกมีบุตรยากที่มีความมั่นคงและน่าเชื่อถือ โดยพิจารณาจากคลินิกที่ได้รับการรับรองมาตราฐานคุณภาพการดูแลรักษาเฉพาะด้านเรื่องการมีบุตรยากในระดับสากล JCI (Joint Commission International) ซึ่งเป็นสถาบันของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยมีการตรวจประเมิน ครอบคลุมตั้งแต่การเข้ารักษาไปจนถึงเมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัยในทุกกระบวนการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย ซึ่งศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (VFC Center) คือศูนย์เฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลเกี่ยวกับการรักษาผู้มีบุตรยากแห่งแรกของโลก (CCPC ) ภายใต้มาตรฐาน JCI
- เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง
การมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ โดยมีปัจจัยที่ควรพิจารณาในด้านเทคโนโลยี ได้แก่
- ระบบการแช่แข็งไข่ ควรใช้เทคนิค Vitrification ซึ่งเป็นวิธีการแช่แข็งแบบผลึกแก้ว ช่วยลดการเกิดผลึกน้ำแข็งที่อาจทำลายโครงสร้างของไข่
- อุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ ควรมีเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น ตู้เพาะเลี้ยงตัวอ่อน EmbryoScope Plus ที่สามารถติดตามพัฒนาการของตัวอ่อนได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่รบกวนสภาพแวดล้อมการเพาะเลี้ยง
- ระบบควบคุมคุณภาพ ควรมีระบบการจัดการคุณภาพที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อรับประกันคุณภาพของกระบวนการฝากไข่ทุกขั้นตอน
- มีแพทย์เฉพาะทาง
เนื่องจากความชำนาญการเฉพาะทางของแพทย์ เป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเลือกสถานที่ฝากไข่ ควรพิจารณาว่าแพทย์มีความชำนาญเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัย และมีประสบการณ์การรักษาภาวะมีบุตรยากและการฝากไข่โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังควรดูไปถึงนักวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการ ว่าควรมีความเชี่ยวชาญในการจัดการเซลล์สืบพันธุ์และตัวอ่อน รวมถึงทีมพยาบาลและผู้ช่วยแพทย์ที่ควรได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทางในด้านการดูแลผู้ป่วยที่รับการรักษาภาวะมีบุตรยาก
- อัตราความสำเร็จ
อัตราความสำเร็จของการฝากไข่และการตั้งครรภ์จากไข่ที่แช่แข็ง เป็นตัวชี้วัดสำคัญของคุณภาพการให้บริการ โดยควรพิจารณาจากข้อมูล เช่น อัตราการรอดชีวิตของไข่หลังการละลาย อัตราการปฏิสนธิ หรือสถิติของการตั้งครรภ์จากไข่ที่แช่แข็งแล้ว รวมถึงอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์และการคลอด เพื่อบ่งชี้ถึงความสำเร็จในการรักษา
- ห้องแลปที่ได้รับรองมาตรฐาน
ห้องปฏิบัติการเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการฝากไข่ ที่จะต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล เช่น CAP (College of American Pathologists) หรือ ISO เพื่อรับประกันว่า ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในการควบคุมคุณภาพ รวมถึงตรวจสอบสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการ ทั้งเรื่องความสะอาด ปราศจากเชื้อโรค รวมถึงมีระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่าไข่จะได้รับการรักษาให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
- การให้บริการครบวงจร
สถานให้บริการฝากไข่ที่ดีควรมีบริการที่ครอบคลุมและครบวงจร โดยมีแพ็กเกจฝากไข่ที่รวมค่าใช้จ่ายไว้อย่างคุ้มค่า โดยรวมถึง
- การให้คำปรึกษาก่อนการรักษา ซึ่งควรมีการอธิบายขั้นตอน ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่คาดหวังอย่างละเอียด
- การตรวจและประเมินสุขภาพ ก่อนเริ่มกระบวนการฝากไข่ ควรมีการตรวจสุขภาพทั่วไปและการตรวจพิเศษเฉพาะทาง
- การดูแลระหว่างการรักษา โดยมีการติดตามอาการ และให้การดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดตลอดกระบวนการ
- การให้บริการหลังการรักษา หลังจากการฝากไข่เสร็จสิ้น ควรมีการติดตามผลและให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง
- บริการเสริม เช่น การให้ข้อมูลเกี่ยวกับทางเลือกอื่น ๆ ในการมีบุตร
นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ อย่างละเอียด เช่น ความสะดวกในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในการแช่แข็งไข่มีราคาครอบคลุมบริการใดบ้าง รวมถึงความยืดหยุ่นในการให้บริการ ดังนั้น การเลือกสถานที่ฝากไข่ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการรักษาและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้รับบริการ โดยการตัดสินใจควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วนและการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการมีบุตรในอนาคต
VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูง 81.66% ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยระดับสากล JCI และเป็นที่แรกที่ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์เฉพาะรายโรคระดับสากล world’s first CCPC for infertility program โดยมีแพ็กเกจฝากไข่ที่รวมค่าใช้จ่ายไว้ในราคาที่เหมาะสม
ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวชวิทยาและเวชศาตร์การเจริญพันธ์ุ
No Comments
Sorry, the comment form is closed at this time.