เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

มูกไข่ตก VS ตกขาว เข้าใจความต่างเพื่อเพิ่มโอกาสมีบุตร

มูกไข่ตกคือสารคัดหลั่งที่ผลิตจากคอมดลูกในช่วงที่ร่างกายกำลังจะมีการตกไข่ มีลักษณะใส ลื่น ยืดหยุ่น

การสังเกตสัญญาณจากร่างกาย เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าใจวงจรการเจริญพันธุ์ของตนเองได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่สมรสที่กำลังวางแผนมีบุตร การสังเกตสารคัดหลั่งจากช่องคลอดเพื่อดูถึงความแตกต่างระหว่าง “มูกไข่ตกและตกขาว” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยบ่งชี้ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์ได้

มูกไข่ตกคืออะไร?

ความหมายและลักษณะทางกายภาพ

มูกไข่ตก (Egg White Cervical Mucus หรือ EWCM) คือสารคัดหลั่งที่มดลูกผลิตออกมาในช่วงที่ร่างกายกำลังจะมีการตกไข่ มีลักษณะคล้ายไข่ขาวดิบ ใส ยืดหยุ่น และลื่น เมื่อใช้นิ้วจับจะสามารถยืดได้และยาวหลายเซนติเมตรโดยไม่ขาด ด้วยลักษณะที่พิเศษนี้ทำให้สามารถแยกแยะมูกไข่ตกออกจากสารคัดหลั่งชนิดอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน

บทบาทในการเจริญพันธุ์

มูกไข่ตกมีความสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการเจริญพันธุ์ ดังนี้

  • ช่วยให้อสุจิเคลื่อนที่ได้สะดวกขึ้นจากช่องคลอดสู่โพรงมดลูก ด้วยลักษณะที่ลื่นและมีโครงสร้างคล้ายช่องทางเล็ก ๆ
  • ช่วยปกป้องอสุจิจากสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดในช่องคลอด ซึ่งโดยปกติแล้วอาจเป็นอันตรายต่ออสุจิได้
  • เป็นตัวบ่งชี้ว่าร่างกายอยู่ในช่วงที่มีภาวะเจริญพันธุ์สูง (Fertile Window) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุด

ช่วงเวลาที่เกิดมูกไข่ตก

มูกไข่ตกมักพบได้ในช่วง 1-5 วันก่อนการตกไข่ ซึ่งเป็นช่วงที่มีโอกาสการตั้งครรภ์สูงที่สุดในรอบเดือน โดยจะมีปริมาณมากที่สุดก่อนวันตกไข่ 1-2 วัน ในรอบเดือนปกติที่มี 28 วัน มูกไข่ตกมักเกิดขึ้นราววันที่ 10-14 ของรอบเดือน แต่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยเฉพาะผู้ที่มีรอบเดือนไม่สม่ำเสมอ

ตกขาวคืออะไร?

ความหมายและลักษณะทางกายภาพ

ตกขาว (Vaginal Discharge) เป็นคำเรียกทั่วไปของสารคัดหลั่งจากช่องคลอดที่เกิดขึ้นตลอดรอบเดือนของผู้หญิง มีลักษณะและความเข้มข้นแตกต่างกันไปตามช่วงของรอบเดือน อาจมีสีขาวขุ่น สีเหลืองอ่อน หรือใส ทั้งยังมีความข้นเหลวแตกต่างกัน ตกขาวเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยทำความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อในช่องคลอด

ประเภทของตกขาวในแต่ละช่วงของรอบเดือน

ตกขาวมีการเปลี่ยนแปลงตลอดรอบเดือน ที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย

  • ช่วงหลังมีประจำเดือน : มีลักษณะแห้ง หรือมีน้อยมาก เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ในระดับต่ำ
  • ช่วงต้นรอบเดือน : เริ่มมีความชุ่มชื้น ข้นเหนียว สีขาวขุ่นหรือเหลืองอ่อน เมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนเริ่มเพิ่มขึ้น
  • ช่วงก่อนตกไข่ : เริ่มใสขึ้น มีความลื่นมากขึ้น (พัฒนาไปเป็นมูกไข่ตก) สัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจน
  • ช่วงตกไข่ : มูกไข่ตก ใส ยืดหยุ่น คล้ายไข่ขาวดิบ เป็นช่วงที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงที่สุด
  • ช่วงหลังตกไข่ : กลับมาข้นเหนียว สีขาวขุ่น และจะแห้งลงเมื่อใกล้มีประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้น

บทบาทของตกขาวต่อสุขภาพทางเพศ

ตกขาวมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของระบบสืบพันธุ์หญิง ดังนี้

  • ทำความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อในช่องคลอด ด้วยกลไกการหลั่งและไหลออกตามธรรมชาติ
  • รักษาความชุ่มชื้นให้กับช่องคลอด ป้องกันการระคายเคืองและการบาดเจ็บ
  • รักษาสมดุล pH ในช่องคลอด ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์

มูกไข่ตกกับตกขาว ต่างกันอย่างไร?

มูกไข่ตกและตกขาวมีความแตกต่างกันทั้งในแง่ลักษณะกายภาพและบทบาทต่อการเจริญพันธุ์

ความแตกต่างด้านลักษณะทางกายภาพ

  • มูกไข่ตก : ใส ยืดหยุ่นสูง ลื่น สามารถยืดได้หลายเซนติเมตรโดยไม่ขาด คล้ายไข่ขาวดิบ
  • ตกขาว : มีลักษณะหลากหลายตามช่วงของรอบเดือน อาจข้น เหนียว ขุ่น หรือมีสีเหลืองอ่อน ยืดได้น้อยกว่ามูกไข่ตก

ความแตกต่างด้านบทบาททางการเจริญพันธุ์

  • มูกไข่ตก : มีบทบาทโดยตรงในการช่วยให้อสุจิเคลื่อนที่และมีชีวิตรอดเพื่อการปฏิสนธิ เป็นตัวบ่งชี้ช่วงเวลาเจริญพันธุ์สูง
  • ตกขาว : มีบทบาทหลักในการรักษาความสะอาดและสุขภาพของช่องคลอด ไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะในการส่งเสริมการตั้งครรภ์ ซึ่งแม้จะไม่ได้มีบทบาทโดยตรงในการส่งเสริมการตั้งครรภ์ แต่สามารถสะท้อนถึงสุขภาพของระบบสืบพันธุ์ได้ เนื่องจากหากตกขาวมีสีหรือกลิ่นผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในช่องคลอดหรือในอุ้งเชิงกราน

ความสำคัญในการวางแผนครอบครัว

  • มูกไข่ตก : เป็นสัญญาณสำคัญสำหรับคู่ที่ต้องการมีบุตร เนื่องจากเป็นตัวบ่งบอกช่วงเวลาที่ควรมีเพศสัมพันธ์เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
  • ตกขาว : ช่วยในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของรอบเดือน ทำให้เข้าใจวงจรการเจริญพันธุ์โดยรวม และยังช่วยสังเกตความผิดปกติของร่างกายที่อาจเกิดจากการติดเชื้อหรือภาวะผิดปกติอื่น ๆ ได้อีกด้วย

วิธีสังเกตมูกไข่ตก

การสังเกตมูกไข่ตกสามารถทำได้หลายวิธี แต่มี 2 วิธีหลักที่มักถูกนำไปใช้ คือ 

การตรวจด้วยตนเอง

วิธีนี้ทำได้โดยใช้นิ้วที่สะอาดหรือกระดาษทิชชูเช็ดบริเวณปากช่องคลอด แล้วสังเกตลักษณะของสารคัดหลั่ง โดยหากพบสารคัดหลั่งที่ใส ลื่น และสามารถยืดได้ระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้โดยไม่ขาดง่าย แสดงว่าเป็นมูกไข่ตก ซึ่งควรทำการสังเกตเป็นประจำทุกวันตลอดรอบเดือน เพื่อสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลง

ทดสอบด้วยวิธีแก้วน้ำ

นำสารคัดหลั่งใส่ในแก้วน้ำสะอาด หากเป็นมูกไข่ตก จะลอยเป็นก้อนและไม่ละลายน้ำทันที แต่หากเป็นตกขาว มักจะละลายหรือจมลงสู่ก้นแก้ว

ความผิดปกติที่ควรสังเกต

สัญญาณที่ควรพบแพทย์

การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของสารคัดหลั่ง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ จึงควรไปพบแพทย์หากสังเกตเห็นถึงความผิดปกติเหล่านี้ 

  • มูกมีกลิ่นผิดปกติ (เช่น กลิ่นคาว กลิ่นเหม็น) อาจบ่งชี้ว่าเกิดการติดเชื้อ
  • มีสีผิดปกติ (เช่น สีเขียว สีเทา หรือสีเลือด) ที่ไม่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน
  • มีอาการคัน แสบ หรือระคายเคืองร่วมด้วย ซึ่งบ่งชี้ถึงอาการอักเสบ

โรคที่อาจเกี่ยวข้อง

ความผิดปกติของสารคัดหลั่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคต่าง ๆ ได้แก่

  • การติดเชื้อรา (ตกขาวคล้ายนมบูด มีกลิ่น มีอาการคัน)  
  • การติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis) มักมีกลิ่นคาวคล้ายปลา
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน คลามิเดีย ซึ่งอาจทำให้มีตกขาวผิดปกติ
  • มะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้น อาจทำให้มีสารคัดหลั่งปนเลือด

มูกไข่ตกที่มีคุณภาพและปริมาณมากพอสามารถช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้

เคล็ดลับเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์

การใช้มูกไข่ตกในการวางแผนมีบุตร

การสังเกตมูกไข่ตกสามารถช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถวางแผนเพื่อให้รู้เวลาที่เหมาะสมต่อการมีเพศสัมพันธ์ได้ 

  • บันทึกการเปลี่ยนแปลงของมูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเรียนรู้รูปแบบรอบเดือนของตนเอง
  • มีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่พบมูกไข่ตก โดยเฉพาะ 1-2 วันก่อนการตกไข่ ซึ่งเป็นช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงสุด
  • ใช้ร่วมกับการวัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อเพิ่มความแม่นยำ โดยอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.2-0.5 องศาเซลเซียสหลังการตกไข่

หากไม่พบมูกไข่ตก

ในบางกรณี ผู้หญิงอาจไม่สามารถสังเกตเห็นมูกไข่ตกที่ชัดเจน เนื่องจากสาเหตุเหล่านี้ 

  • ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล ทำให้การผลิตมูกไข่ตกผิดปกติ
  • การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก อาจลดการผลิตมูก
  • การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตมูกได้เพียงพอ
  • ภาวะเครียด ส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมน
  • ความผิดปกติของรอบเดือน เช่น ไม่มีการตกไข่ (Anovulation)

การเพิ่มคุณภาพของมูกไข่ตก

มีหลายวิธีที่ช่วยเพิ่มคุณภาพและปริมาณของมูกไข่ตก เช่น

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ (8-10 แก้วต่อวัน) เพื่อให้ร่างกายมีความชุ่มชื้น
  • รับประทานอาหารที่มีวิตามินอี ซึ่งช่วยในการผลิตมูกไข่ตก
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้แพ้และยาลดน้ำมูกบางชนิด ที่อาจทำให้มูกแห้งลง
  • หากิจกรรมที่ชอบทำ เพื่อผ่อนคลายความเครียด ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนโดยตรง 
  • พิจารณาเสริมอาหารด้วยส่วนประกอบของน้ำมันรำข้าว (Evening Primrose Oil) เนื่องจากมีผลการศึกษาระบุว่า อาจช่วยเพิ่มคุณภาพของมูก

การสังเกตมูกไข่ตกและตกขาวเป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าใจรอบเดือนของตนเองได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงช่วงที่มีภาวะเจริญพันธุ์สูง เหมาะสำหรับคู่สมรสที่วางแผนมีบุตร เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หากคุณเป็นคู่สมรสที่พยายามมีบุตรมานาน โดยใช้วิธีสังเกตมูกไข่ตกและมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่ยังไม่เป็นผล และกำลังมองหาทางเลือกอย่างการทำ ICSI ที่ไหนดี ? ที่ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร (V Fertility Center) คือคำตอบ เราเป็นศูนย์เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินรีเวชแห่งประเทศไทย ให้บริการด้วยเทคนิค ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในกรณีที่อสุจิมีปัญหา ดูแลโดยทีมแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมอุปกรณ์การแพทย์ที่ล้ำสมัย ห้องปฏิบัติการมาตรฐานสากล เราพร้อมดูแลคุณตั้งแต่การวินิจฉัย วางแผนการรักษา จนถึงการดูแลระหว่างตั้งครรภ์

 

บทความโดย แพทย์หญิงวนากานต์ สิงหเสนา

ติดต่อสอบถามหรือนัดหมายแพทย์ ได้ที่ 

VFC ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร 

Hotline: 082-903-2035 

LINE Official: @vfccenter

 

ข้อมูลอ้างอิง:

What’s the cervical mucus method of FAMs?. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 จาก https://www.plannedparenthood.org/learn/birth-control/fertility-awareness/whats-cervical-mucus-method-fams

No Comments

Sorry, the comment form is closed at this time.