เปิดทุกวัน 8:00 น. - 17.00 น

เวลาทำการ

Follow Us

บทความสุขภาพ

ภาพแสดงติ่งเนื้อในโพรงมดลูก

รู้ทันติ่งเนื้อในโพรงมดลูก เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์

ติ่งเนื้อในโพรงมดลูกเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 30-50 ปี แม้ว่าหลายคนอาจไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ติ่งเนื้อเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้ การรู้เท่าทันและสังเกตอาการของตนเอง เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี จะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จได้ ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก (Endometrial Polyps) ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก (Endometrial Polyps) คือก้อนเนื้อที่งอกยื่นออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูก มีลักษณะคล้ายติ่งเนื้อนุ่ม อาจมีขนาดตั้งแต่ไม่กี่มิลลิเมตรไปจนถึงหลายเซนติเมตร ติ่งเนื้อเหล่านี้ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีหลอดเลือดมาเลี้ยง ทำให้มีโอกาสเติบโตและเพิ่มขนาดได้ จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ประมาณ 10-15% มีโอกาสเกิดภาวะนี้ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 40-50 ปี ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นติ่งเนื้อในโพรงมดลูกมาก่อน รวมถึงผู้ที่มีภาวะอ้วน และคนที่มีความดันโลหิตสูง มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้สูงกว่าคนทั่วไป อาการและสัญญาณที่บ่งชี้ ภาวะติ่งเนื้อในโพรงมดลูก อาการที่พบได้บ่อยมีหลายรูปแบบ แต่ที่พบมากที่สุดคือความผิดปกติของการมีประจำเดือน ได้แก่ ประจำเดือนมามากหรือนานผิดปกติ โดยอาจมีเลือดออกมากกว่าปกติ 2-3 เท่า มีเลือดออกกะปริดกะปรอยระหว่างรอบเดือน โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้คาดการณ์รอบเดือนได้ยาก ปวดท้องน้อยหรือรู้สึกไม่สบายท้อง โดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือน อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่แสดงอาการใด ๆ (Silent Polyps) แต่ตรวจพบได้โดยบังเอิญระหว่างการตรวจภายในหรือการตรวจพิเศษอื่น ๆ โดยเฉพาะกรณีที่ติ่งเนื้อมีขนาดเล็ก ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ ติ่งเนื้อในโพรงมดลูกอันตรายไหมต่อการตั้งครรภ์ ? จากการศึกษาพบว่า ติ่งเนื้อสามารถส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้หลายรูปแบบ กลไกการรบกวนการฝังตัวของตัวอ่อน ติ่งเนื้อในโพรงมดลูกสามารถขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือการที่ติ่งเนื้อไปกีดขวางพื้นที่ที่ตัวอ่อนควรจะฝังตัว ส่วนทางอ้อมคือการที่ติ่งเนื้อไปเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในโพรงมดลูก ทำให้ไม่เหมาะสมต่อการฝังตัว ผลต่อคุณภาพของเยื่อบุโพรงมดลูก ติ่งเนื้อสามารถทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในเยื่อบุโพรงมดลูก ส่งผลให้คุณภาพของเยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในบริเวณดังกล่าวอีกด้วย...

สีอสุจิปกติจะเป็นขาวขุ่นหรือเทาอมขาว

สีน้ำอสุจิกับปัญหาสุขภาพ และโอกาสในการตั้งครรภ์

สีน้ำอสุจิ บ่งบอกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงและความผิดปกติบางอย่างในร่างกาย และสามารถส่งผลต่อคุณภาพของอสุจิจนไปกระทบต่อการมีบุตรในอนาคต จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนอยากมีลูกต้องวางแผนให้ดี และหาทางปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพของอสุจิ ทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมและเพิ่มโอกาสให้สามารถมีบุตรได้อย่างที่ใจปรารถนาด้วย สีของน้ำอสุจิบอกอะไรในเรื่องสุขภาพ ? โดยทั่วไป สีอสุจิปกติจะเป็นสีขาวขุ่นหรือเทาอมขาว มีความข้นหนืดพอประมาณ แต่เหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้สีของน้ำอสุจิแตกต่างไปจากเดิม มีดังนี้ อสุจิสีเหลือง อสุจิสีเหลือง เกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัย คือ 1. น้ำอสุจิเป็นสีเหลืองอ่อน โดยไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย ดังนี้ อายุที่มากขึ้น ทำให้สีของอสุจิค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกลไกทางธรรมชาติ การรับประทานอาหาร เช่น กระเทียม ขมิ้น การรับประทานยาปฏิชีวนะ หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีสารสกัดวิตามินบี การไม่ได้หลั่งอสุจิเป็นเวลานาน 2. น้ำอสุจิสีเหลืองอ่อน เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงหรือปัญหาสุขภาพ ดังนี้ สูบบุหรี่จัด โดยสารนิโคตินจะส่งผลให้น้ำอสุจิเป็นสีเหลือง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองในแท้ หรือหนองในเทียม ซึ่งล้วนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีอสุจิ การติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ เช่น โรคต่อมลูกหมากอักเสบ ที่จะส่งผลให้อสุจิมีสีเหลืองและขุ่นมากขึ้น ...

วิธีทำให้ท้องตามธรรมชาติ

สูตรปั้มลูกแบบธรรมชาติ 3 วิธีที่ช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

การมีบุตรเป็นช่วงเวลาพิเศษที่หลายคู่รักรอคอย แต่บางครั้งอาจต้องใช้เวลาและความอดทน บทความนี้จะขอมาแนะนำ "สูตรปั๊มลูก" หรือ "วิธีทำให้ท้อง" ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ 3 วิธีทำให้ท้อง เรียกเจ้าตัวน้อยแบบธรรมชาติ คำนวณวันไข่ตกให้แม่นยำ เพื่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกวัน สำหรับฝ่ายหญิง การทำความเข้าใจเรื่องรอบเดือน คือสิ่งที่จะช่วยให้สามารถคำนวณได้ว่า หลังมีเพศสัมพันธ์กี่วันถึงท้อง โดยทั่วไป ไข่จะตกประมาณ 14 วันก่อนประจำเดือนมาในรอบถัดไป ซึ่งนี่คือช่วงเวลาที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุด การคำนวณวันไข่ตกให้แม่นยำ เริ่มจากการจดบันทึกวันแรกของประจำเดือนอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน ควบคู่ไปกับการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่บ่งบอกถึงการตกไข่ เช่น อาการปวดในส่วนล่างของช่องท้องหรือท้องน้อย การเจ็บหน้าอก หรือ ลักษณะตกขาวที่เปลี่ยนไป ซึ่งในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่ช่วยติดตามรอบเดือน เพื่อให้ฝ่ายหญิงสามารถคำนวณวันตกไข่ได้แม่นยำมากขึ้น ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ที่เหมาะสม อีกหนึ่งคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์คือ "ปล่อยในกี่วันถึงท้อง" และ "ปล่อยยังไงให้ท้อง" ? ซึ่งคำตอบนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่คู่สมรสมีเพศสัมพันธ์ โดยช่วงเวลาทองของการมีเพศสัมพันธ์ คือ 2-3 วันก่อนไข่ตก และ วันที่ไข่ตก เนื่องจากไข่มีอายุเพียง 24 ชั่วโมงหลังการตกไข่ แต่อสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายผู้หญิงได้นานถึง 3-5 วัน ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ที่แนะนำคือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องมีทุกวัน เพราะการมีเพศสัมพันธ์ถี่เกินไปอาจส่งผลให้คุณภาพและปริมาณอสุจิลดลง ควรมีการพักระหว่างการมีเพศสัมพันธ์แต่ละครั้งประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้ร่างกายสามารถผลิตอสุจิที่มีคุณภาพได้มากขึ้น เพิ่มคุณภาพไข่และอสุจิ การเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเน้นอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญพันธุ์ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ รวมถึงโปรตีนคุณภาพดีจากปลา ไข่ และถั่วต่าง ๆ การออกกำลังกายก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสม เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ...

ผู้หญิงมีฮอร์โมนผิดปกติจนอารมณ์แปรปรวนไม่สบายตัว จึงมองหาวิธีแก้

เพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงให้สมดุล ลดปัญหา เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

ความผันผวนของฮอร์โมนเพศหญิงสามารถส่งผลต่อสุขภาพและอารมณ์ของผู้หญิงได้อย่างมาก การทำความเข้าใจกลไกการทำงานของฮอร์โมน เพื่อเรียนรู้วิธีปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้สมดุล จึงถือเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี รู้จักฮอร์โมนเพศหญิงและบทบาทสำคัญ ฮอร์โมนเพศหญิงมีหน้าที่ควบคุมระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ซึ่งแต่ละฮอร์โมนจะมีบทบาทเฉพาะที่ส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพการใช้ชีวิตในแต่ละด้าน โดยฮอร์โมนที่สำคัญมีดังนี้ เอสโตรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง เช่น การพัฒนาอวัยวะเพศ การเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกในแต่ละรอบเดือนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน รวมถึงยังส่งผลต่อความแข็งแรงของกระดูก ผิวพรรณ และอารมณ์ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในระบบสืบพันธุ์และการตั้งครรภ์ ทำหน้าที่ช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาพอสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน เพื่อให้การตั้งครรภ์เป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อป้องกันความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) แม้จะเป็นฮอร์โมนที่พบในเพศชายเป็นหลัก แต่ในผู้หญิง ฮอร์โมนชนิดนี้จะช่วยเพิ่มพลังงาน กระตุ้นความต้องการทางเพศ และเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ สัญญาณเตือนอาการฮอร์โมนไม่สมดุล เมื่อฮอร์โมนเพศหญิงขาดความสมดุล อาจนำไปสู่การเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีสัญญาณที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ ประจำเดือนผิดปกติ เช่น รอบเดือนมาถี่เกินไป ช้ากว่าปกติ หรือขาดหายไป อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือวิตกกังวลมากกว่าปกติ น้ำหนักเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หรือลดอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน ผิวแห้งและผมร่วง ร่างกายสูญเสียความชุ่มชื้น มีปัญหาด้านการนอน นอนไม่หลับ หลับยาก แม้จะพยายาม รู้สึกเหนื่อยล้า หรืออ่อนเพลียตลอดเวลา ความต้องการทางเพศลดลง ซึ่งอาจเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรนที่ลดลง 5 วิธีปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้สมดุล 1. นอนหลับอย่างเพียงพอ การนอนหลับมีบทบาทสำคัญต่อการผลิตและควบคุมฮอร์โมน หากนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย จนทำให้ฮอร์โมนผิดปกติ โดยมีวิธีแก้ไขที่ทำได้ดังนี้ นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อปรับนาฬิการ่างกายให้สมดุล หลีกเลี่ยงการใช้สมาร์ตโฟน หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน เพราะแสงสีฟ้าจะรบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยให้หลับลึก 2. ทานอาหารที่มีประโยชน์ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ฮอร์โมนเพศเกิดความสมดุล การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยลดความผันผวนของฮอร์โมนได้...

คู่สมรสทำตามเคล็ดลับมีลูก ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

เคล็ดลับมีลูก : แนวทางเตรียมพร้อมสู่การมีบุตรที่สมบูรณ์

ภาวะมีบุตรยาก เป็นปัญหาที่พบได้มากขึ้นในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ความเครียดจากการทำงาน รวมถึงการวางแผนมีบุตรในอายุที่มากขึ้น บทความนี้รวบรวมเคล็ดลับมีลูกฉบับสมบูรณ์ โดยมุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้คู่สมรสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ 4 เคล็ดลับมีลูกที่คู่สมรสต้องรู้ เพื่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ เตรียมร่างกายให้พร้อม เพราะการมีบุตรเป็นเรื่องของคนสองคน ทั้งสามีและภรรยาจึงต้องเตรียมความพร้อมของร่างกายไปพร้อม ๆ กัน สำหรับผู้หญิง สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เริ่มจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยโฟลิก ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกายและสร้างตัวอ่อนให้สมบูรณ์ เช่น ผักใบเขียว ไข่ และตับ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 วัน และการพักผ่อนให้เพียงพอ สำหรับฝ่ายชาย ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจส่งผลต่อคุณภาพอสุจิ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และควรรับประทานอาหารที่มีสังกะสีและวิตามินอีสูง เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนเพศชาย และเพิ่มจำนวนสเปิร์ม เช่น หอยนางรม ถั่ว และเมล็ดฟักทอง จับจังหวะให้ถูก เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมีเพศสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ ถือเป็นหนึ่งในเคล็ดลับมีลูกที่สำคัญอย่างยิ่ง คู่สมรสควรทำความเข้าใจเรื่องวันตกไข่ และวงจรการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง โดยสามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หรือ ใช้ชุดตรวจการตกไข่ช่วยคำนวณช่วงเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ การจดบันทึกรอบเดือนอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นวิธีที่จะช่วยให้สามารถคำนวณวันตกไข่ได้แม่นยำขึ้น โดยทั่วไปไข่จะตกประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน นับจากวันแรกของประจำเดือน หรือประมาณ 14 วันก่อนประจำเดือนมาครั้งต่อไป และไข่จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 24 ชั่วโมง ปรับสมดุลชีวิต ลดความเครียด ความเครียด เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์ เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียด จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่รบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศ และส่งผลต่อการตกไข่ในผู้หญิง รวมถึงคุณภาพอสุจิในผู้ชาย ดังนั้น การจัดการความเครียดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคู่สมรสที่วางแผนมีบุตร ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตรเท่านั้น...

ที่ตรวจไข่ตก สร้างโอกาสในการวางแผนการตั้งครรภ์

รู้ครบเรื่องที่ตรวจไข่ตก ตัวช่วยสำหรับการวางแผนมีบุตร

การตรวจไข่ตกถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คู่รักสามารถวางแผนการมีบุตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ขั้นตอนการใช้ที่ตรวจไข่ตก การแปลผล รวมถึงการดูแลสุขภาพ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้การตั้งครรภ์ประสบความสำเร็จได้ ที่ตรวจไข่ตก ตัวช่วยสำหรับคู่รักที่ต้องการวางแผนการมีบุตร ที่ตรวจไข่ตกเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจวัดระดับฮอร์โมนลูทีไนซิง (LH) ในปัสสาวะ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาในปริมาณมากก่อนการตกไข่ประมาณ 24-36 ชั่วโมง เมื่อระดับฮอร์โมน LH เพิ่มสูงขึ้น โดยที่ตรวจไข่ตกจะแสดงผลเป็น 2 ขีด เพื่อบ่งบอกว่าร่างกายกำลังเข้าสู่ช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงสุดในรอบเดือน ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมีเพศสัมพันธ์เพื่อการตั้งครรภ์ โดยทั่วไปแล้ว ที่ตรวจไข่ตกจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ แผ่นตรวจไข่ตกแบบแถบ ใช้งานง่าย ราคาไม่สูง เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ที่ตรวจไข่ตกแบบดิจิทัล ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและแม่นยำ โดยแสดงผลผ่านหน้าจอ ขั้นตอนการใช้งานที่ตรวจไข่ตกและการอ่านผล เตรียมปัสสาวะ โดยเก็บปัสสาวะในภาชนะที่สะอาด แต่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากเกินไปก่อนการตรวจ เพราะอาจทำให้ระดับฮอร์โมน LH เจือจาง จุ่มที่ตรวจจนถึงขีดที่กำหนด และรอผลตามเวลาที่ระบุไว้ในคู่มือ การอ่านผล หากที่ตรวจไข่ตกแสดงผล 1 ขีด แสดงว่าไม่มีสัญญาณของไข่ตก แต่ถ้าเป็น 2 ขีด จะหมายถึงฮอร์โมน LH อยู่ในระดับสูง แสดงว่าใกล้ถึงช่วงไข่ตก เวลาที่เหมาะสมในการตรวจเพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ สำหรับคำถามที่ว่า ควรตรวจไข่ตกตอนไหนดี ? ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ...

กรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 สำคัญมากต่อการเตรียมตัวตั้งครรภ์

เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ด้วยการเสริมกรดโฟลิกอย่างถูกวิธี

การเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการได้รับสารอาหารที่จำเป็น ยิ่งถ้าพูดถึงกรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 ถือว่ามีความสำคัญกับการเตรียมตั้งครรภ์อย่างมาก เพราะมีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบประสาทของทารกในครรภ์ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างและพัฒนาเซลล์สืบพันธุ์ของทั้งว่าที่คุณพ่อและคุณแม่ การรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิกอย่างเพียงพอจึงควรเริ่มตั้งแต่ช่วงวางแผนการมีบุตร กรดโฟลิกคืออะไร และสำคัญอย่างไรต่อการมีบุตร ? กรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างเซลล์และการแบ่งตัวของเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์ อย่างที่บอกไปว่า การได้รับกรดโฟลิกในช่วงเตรียมตั้งครรภ์ มีบทบาทสำคัญในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ทั้งไข่และอสุจิ จึงส่งผลดีต่อทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เนื่องจากจะช่วยเพิ่มคุณภาพของเซลล์สืบพันธุ์ ส่งผลให้การปฏิสนธิมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติในโครโมโซมที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาของทารก ที่สำคัญ การได้รับกรดโฟลิกอย่างเพียงพอก่อนการตั้งครรภ์ ยังจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการแท้งบุตรได้อีกด้วย ความสำคัญของกรดโฟลิกในช่วงตั้งครรภ์ การพัฒนาระบบประสาทของทารก ประโยชน์ของกรดโฟลิกที่ส่งผลดีกับคนท้อง คือการมีส่วนช่วยต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการพัฒนาระบบประสาทและไขสันหลังของทารก การป้องกันความผิดปกติของหลอดประสาท การได้รับกรดโฟลิกอย่างเพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติของหลอดประสาท (Neural Tube Defects) ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะสมองและไขสันหลังไม่ปิด ซึ่งภาวะนี้อาจทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคไขสันหลังโหว่ (Spina Bifida) หรือภาวะสมองและกะโหลกศีรษะไม่ปิด (Anencephaly) การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ กรดโฟลิกยังมีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดงและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ทั้งยังช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางในมารดา และส่งเสริมการเจริญเติบโตของรก ปริมาณกรดโฟลิกที่เหมาะสม ปริมาณที่แนะนำสำหรับช่วงเตรียมตั้งครรภ์ ปริมาณกรดโฟลิกที่แนะนำสำหรับผู้หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์คือ 400-800 ไมโครกรัมต่อวัน โดยควรเริ่มรับประทานอย่างน้อย 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำสำหรับฝ่ายชาย สำหรับผู้ชายที่วางแผนมีบุตรควรได้รับกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัมต่อวันเช่นเดียวกันกับผู้หญิง ปริมาณที่แนะนำระหว่างตั้งครรภ์ เมื่อตั้งครรภ์แล้ว...

คู่รักใช้วิธีตรวจครรภ์ที่แสดงผลอย่างแม่นยำ

วิธีตรวจครรภ์ แบบเห็นผลชัดเจนและแม่นยำ สำหรับผู้มีบุตรยาก

หลังกระบวนการฝังตัวอ่อนไปแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ว่าที่คุณแม่อยากจะรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์สำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกระบวนการทำอิ๊กซี่เสร็จสิ้น ซึ่งแพทย์จะทำการนัดหมายเพื่อตรวจการตั้งครรภ์ตามช่วงเวลาที่เหมาะสมหลังจากนั้น แต่ผู้ที่เข้ารับการฝังตัวอ่อนก็สามารถใช้วิธีตรวจครรภ์เบื้องต้นได้ด้วยตนเองเช่นกัน วิธีตรวจตั้งครรภ์มีกี่แบบ อะไรบ้าง เร็วสุดกี่วัน ? สำหรับคนที่สงสัยว่าหลังจากฝังตัวอ่อนแล้ว กี่วันถึงจะรู้ว่าท้อง สามารถรู้ได้ด้วยวิธีตรวจครรภ์เหล่านี้ การตรวจตั้งครรภ์แบบจุ่ม (Test Strip) การตรวจครรภ์แบบจุ่ม (Test Strip) เป็นวิธีที่ง่ายและราคาประหยัดที่สุด ทั้งยังสามารถตรวจได้ด้วยตนเอง เพียงแค่ปัสสาวะลงในถ้วยตวง แล้วจุ่มแผ่นทดสอบลงในปัสสาวะ แช่ไว้ประมาณ 3-5 วินาที จากนั้นจึงค่อยนำเอาแผ่นทดสอบขึ้นมา วางทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที เพื่อรออ่านผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้น โดยสามารถตรวจได้หลังจากการฝังตัวอ่อนประมาณ 7-14 วัน การตรวจตั้งครรภ์แบบหยดหรือแบบตลับ (Pregnancy Test Cassette) อีกหนึ่งวิธีที่สามารถตรวจตั้งครรภ์ได้ด้วยตนเอง ด้วยอุปกรณ์ตรวจครรภ์แบบหยดหรือแบบตลับ (Pregnancy Test Cassette) โดยมีขั้นตอนการตรวจที่ทำได้ง่าย ๆ เริ่มจากการปัสสาวะลงในถ้วยตวง จากนั้นนำหลอดดูดน้ำปัสสาวะ แล้วนำไปหยดลงในตลับตรวจครรภ์ประมาณ 3-4 หยด ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที เพื่อรออ่านผลลัพธ์ สำหรับวิธีนี้สามารถตรวจได้หลังจากการฝังตัวอ่อนประมาณ 7-14 วัน การตรวจตั้งครรภ์แบบปากกาหรือแบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests) อีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการตรวจตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง คือการใช้อุปกรณ์ชนิดปากกาในแบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests) โดยมีวิธีการใช้งานง่าย ๆ เริ่มจากการถอดฝาครอบออก แล้วถือแท่งตรวจครรภ์ขึ้น โดยให้ถอดฝาครอบบริเวณหัวปากกาออก จากนั้นปัสสาวะลงตรงบริเวณที่ต่ำกว่าลูกศรให้ชุ่มประมาณ 30 วินาที แล้วปล่อยทิ้งไว้ในแนวราบ รออ่านผลประมาณ 3-5 นาที สามารถตรวจได้เร็วสุด...

มือเด็กถือตัวอักษร XY สื่อถึงโครโมโซมเพศ

รู้จักโรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดผ่านโครโมโซมเพศ และวิธีการป้องกัน

ทำความเข้าใจโรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดผ่านโครโมโซมเพศ และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวิธีการตรวจโครโมโซมตัวอ่อน เพื่อการตั้งครรภ์ที่แข็งแรงสมบูรณ์...

คู่รักใช้บริการคลินิกปรึกษามีบุตรยาก

เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้ทุกคู่ เพียงปรึกษาศูนย์ผู้มีบุตรยาก

คลินิกมีบุตรยากไม่ใช่แค่ช่วยรักษาผู้ที่มีปัญหามีบุตรยากเท่านั้น แต่ยังจะช่วยวางแผนครอบครัวให้กับคู่รักทุกคู่ เพื่อการมีลูกที่แข็งแรงสมบูรณ์ในอนาคต...